
แนววินิจฉัย: 1. กรณีตาม 1. ในการเฉลี่ยภาษีซื้อของบริษัทฯ ซึ่งมิใช่บริษัทที่ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ หรือธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ หรือธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ หรือธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งเป็นกิจการตามมาตรา 91/2(1) (2) และ (3) แห่งประมวลรัษฎากร และประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มโดยมีรายได้จากการขายหุ้น แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.1 กรณีบริษัทฯ มีรายได้จากการขายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะและเข้าลักษณะเป็นรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามข้อ 4(2) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ แต่เนื่องจากตามข้อ 4 วรรคสองของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว กำหนดว่า รายได้ตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึง รายได้ที่เกิดขึ้นจากกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนนำเงินไปหาประโยชน์โดยการฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ หรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินอื่น แต่ทั้งนี้ไม่ใช้บังคับสำหรับการประกอบกิจการตามมาตรา 91/2(1)(2) และ (3) แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น รายได้จากการขายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ เข้าลักษณะเป็นรายได้ที่เกิดจากการนำเงินไปหาประโยชน์จากการซื้อหลักทรัพย์ จึงถือเป็นรายได้ที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นฐานรายได้ในการเฉลี่ยภาษีซื้อ โดยไม่ถือเป็นรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นฐานรายได้ในการเฉลี่ยภาษีซื้อ ทั้งนี้ ตามข้อ 4 วรรคสอง และข้อ 4(2) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว
1.2 กรณีบริษัทฯ มีรายได้จากการขายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยไม่ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์และรายได้จากการขายหุ้นของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รายได้ดังกล่าวถือเป็นรายได้ที่เกิดจากการนำเงินไปหาประโยชน์จากการซื้อหลักทรัพย์ ตามข้อ 4 วรรคสองของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว ดังนั้น บริษัทฯ ไม่ต้องนำรายได้ดังกล่าวมาถือเป็นสัดส่วนรายได้ของกิจการเพื่อเฉลี่ยภาษีซื้อ
2. กรณีตาม 2. บริษัทฯ เลือกเฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา หากในปีใดรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด บริษัทฯ ใช้สิทธิเลือกนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย ตามข้อ 3(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว ดังนั้น เมื่อสิ้นปี 2548 แม้บริษัทฯ มีรายได้แยกเป็นสัดส่วนของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 80 และเป็นรายได้ของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 20 ก็ตาม ในปี 2548 บริษัทฯ ต้องนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย เนื่องจากในปี 2547 สัดส่วนของรายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวนร้อยละ 95 และของกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นจำนวนร้อยละ 5 ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ มีรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด บริษัทฯ จึงต้องนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย ทั้งนี้ ตามข้อ 3(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว โดยบริษัทฯ ไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้อเมื่อสิ้นปี 2548 แต่ในปี 2549 บริษัทฯ ต้องเฉลี่ยภาษีซื้อตามสัดส่วนรายได้ของปี 2548 ซึ่งไม่มีสิทธินำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย เนื่องจากรายได้ของปี 2548 กิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่ถึงร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด
3. กรณีตาม 3. หากสิ้นปี 2549 บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด ในปี 2550 บริษัทฯ ต้องนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย ตามข้อ 3(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯ ใช้สิทธิเลือกนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขายกรณีมีรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด และเมื่อบริษัทฯ ได้เลือกปฏิบัติตามกรณีดังกล่าวแล้วบริษัทฯ ต้องถือปฏิบัติตลอดไป เว้นแต่บริษัทฯ จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ ตามข้อ 3 วรรคสองของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว
เลขตู้:69/34287