
แนววินิจฉัย 1. กรณีบริษัทฯ มีภาษีซื้อจากการประกอบกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำสินค้าหรือบริการที่ได้มาหรือได้รับมาในการ ประกอบกิจการของตนไปใช้หรือจะใช้ในกิจการทั้งสองประเภท ถ้าไม่สามารถแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าภาษีซื้อ ดังกล่าวเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด ให้เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของแต่ละกิจการตามข้อ 2(3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535 อย่างไรก็ดี หากบริษัทฯ มีรายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด บริษัทฯ มีสิทธิเลือกนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย และเมื่อ บริษัทฯ ได้เลือกปฏิบัติตามกรณีดังกล่าวแล้วบริษัทฯ ต้องถือปฏิบัติตลอดไป เว้นแต่บริษัทฯ จะได้รับอนุมัติ จากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ ตามข้อ 3(1) และข้อ 3 วรรคสอง ของประกาศอธิบดี กรมสรรพากรฉบับดังกล่าว
2. กรณีภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของบริษัทฯ ซึ่งเป็นกิจการ ประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งไม่สามารถแยกสัดส่วนของ การใช้พื้นที่อาคารได้ ดังนั้น ภาษีซื้อจากการก่อสร้างอาคารดังกล่าวจึงใช้ในกิจการทั้งสองประเภท เมื่อ บริษัทฯ ไม่สามารถประมาณการการใช้พื้นที่อาคารได้ว่า ส่วนใดใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และส่วนใดใช้ในกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงอนุมัติให้บริษัทฯ เฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้าง อาคาร ตามสัดส่วนรายได้ของปีที่ผ่านมาของกิจการ และให้นำภาษีซื้อส่วนที่เฉลี่ยได้ตามส่วนของกิจการ ประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ไปหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ ตามมาตรา 82/3 และมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2 และข้อ 7 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว
เลขตู้ : 71/35781
https://www.rd.go.th/