
แนววินิจฉัย: 1. กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำสินค้าหรือ
บริการที่ได้มาหรือได้รับมาในการประกอบกิจการของตนไปใช้ในกิจการทั้งสองประเภท ให้ผู้ประกอบการ
นั้นเฉลี่ยภาษีซื้อที่จะนำมาหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่ง
ประมวลรัษฎากร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ทั้งนี้ ตามมาตรา 82/6 แห่ง
ประมวลรัษฎากร ซึ่งอธิบดีได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อไว้ตาม
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
เงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามมาตรา 82/6 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535
ดังนั้น กรณีผู้ประกอบการซึ่งเริ่มประกอบกิจการ หรือได้ประกอบกิจการมาแล้วแต่ยังไม่มีรายได้ หากมี
ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือบริการซึ่งได้นำไปใช้ในกิจการทั้งสองประเภท และไม่สามารถแยกได้
อย่างชัดแจ้งว่าเป็นภาษีซื้อของกิจการประเภทใด ผู้ประกอบการจะต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขของข้อ 2(1) และ (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฯ ฉบับดังกล่าว กล่าวคือ
ผู้ประกอบการจะต้องเฉลี่ยภาษีซื้อของสินค้าหรือบริการตามส่วนของประมาณการรายได้ของกิจการทั้งสอง
ประเภทของปีที่เริ่มมีรายได้ โดยให้นำภาษีซื้อที่เฉลี่ยได้ตามส่วนของประมาณการรายได้ของกิจการ
ประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาหักออกจากภาษีขาย แต่ภาษีซื้อดังกล่าวจะต้องไม่เกินกึ่งหนึ่งของ
ภาษีซื้อที่นำมาเฉลี่ย และเมื่อสิ้นปีของปีแรกที่เริ่มมีรายได้ ให้ผู้ประกอบการปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไป
ตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริง และสำหรับปีถัดจากปีที่เริ่มมีรายได้ ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกเฉลี่ย
ภาษีซื้อได้ 2 วิธี คือ
(1) เฉลี่ยภาษีซื้อ ตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา ของกิจการประเภทที่ต้องเสีย
ภาษีมูลค่าเพิ่มและกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และขอคืนภาษีซื้อตามที่ได้เฉลี่ยไว้ โดย
ไม่ต้องทำการปรับปรุงภาษีซื้อในภายหลังอีก
(2) เฉลี่ยภาษีซื้อ ตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา ของกิจการทั้งสองประเภท และ
เมื่อสิ้นปีให้ผู้ประกอบการทำการปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไป ตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปี ของ
กิจการทั้งสองประเภท
เมื่อผู้ประกอบการได้เลือกปฏิบัติเป็นอย่างใดแล้ว ก็ให้ถือปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกันตลอดไป
เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ดี ตามข้อ 3(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฯ ฉบับดังกล่าวได้กำหนด
หลักเกณฑ์ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่จะไม่ต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อ โดยในกรณีที่
รายได้ของปีที่ผ่านมา ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 90 ของ
รายได้ทั้งสิ้นของกิจการ ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขายได้ โดย
ไม่ต้องทำการเฉลี่ยภาษีซื้อ
2. กรณีตามข้อเท็จจริงข้างต้น ในเดือนมกราคม - ธันวาคม 2542 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มมี
รายได้และเดือนมกราคม - ธันวาคม 2543 บริษัทฯ ยื่นแบบ ภ.พ. 30 ขอคืนภาษีซื้อของกิจการทั้ง
ประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งจำนวนโดยมิได้ทำการเฉลี่ย
ภาษีซื้อ และสำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้ดำเนินการตรวจสอบและพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้บริษัทฯ
ตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2542 และ 2543 โดยได้ทำการประเมิน
เบี้ยปรับกรณีบริษัทฯ แจ้งภาษีซื้อไว้เกินตามมาตรา 89(4) แห่งประมวลรัษฎากร ไว้แล้ว ซึ่งเมื่อบริษัทฯ
ได้ทราบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง บริษัทฯ จึงยื่นแบบ ภ.พ.30 ของเดือนมกราคม - ธันวาคม 2544 โดย
เฉลี่ยภาษีซื้อตามส่วนของรายได้ของปีที่ผ่านมา (รอบระยะเวลาบัญชีปี 2543) และได้ยื่นแบบ ภ.พ.
30.2 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2545 เพื่อปรับปรุงภาษีซื้อของเดือนมกราคม - ธันวาคม 2544 ให้เป็น
ไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2544 กรณีดังกล่าวจึงถือ ได้ว่าบริษัทฯ ได้
เลือกใช้หลักเกณฑ์การเฉลี่ยภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงทั้งปี ตาม 1(2) ดังนั้น
การที่บริษัทฯ ได้ยื่นแบบ ภ.พ.30.2 เพื่อปรับปรุงภาษีซื้อของเดือนมกราคม - ธันวาคม 2544 จึงเป็น
ไปตามหลักเกณฑ์ข้อ 2(3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฯ ฉบับดังกล่าวแล้ว และไม่มีกรณีที่ต้องขอ
อนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้เปลี่ยนแปลงวิธีการเฉลี่ยภาษีซื้อแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในการยื่นแบบ ภ.พ.30.2 เพื่อปรับปรุงภาษีซื้อของเดือนมกราคม - ธันวาคม
2544 บริษัทฯ มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้น
จริงของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2544 ในอัตราร้อยละ 99.53 โดยไม่มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อทั้งจำนวน แต่
สำหรับเดือนมกราคม - ธันวาคม 2545 บริษัทฯ มีสิทธิเลือกนำภาษีซื้อทั้งจำนวนไปหักออกจากภาษีขาย
ได้ เนื่องจากรายได้ของกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2544 ซึ่งเป็น
ปีที่ผ่านมาของรอบระยะเวลาบัญชีปี 2545 มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด
ทั้งนี้ ตามข้อ 3(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29)ฯ ลงวันที่ 9
มีนาคม พ.ศ. 2535
เลขตู้: 67/32794